ขำขันบันทึก
โดย นายมัคคุเทศก์
เหรียญวิเศษ
ถ้าท่านที่เคยไปเมืองจีนมาแล้วคงจะปวดหัวไม่เบากับการใช้เงินของประเทศจีนเขา เพราะเขามีเงินสองอย่าง อย่างหนึ่งสำหรับนักท่องเที่ยวที่เอาเงินสกุลต่างประเทศ เช่น ยูเอสดอลล่าร์ ฮ่องกงดอลล่าร์ ไปแลกมาและจะต้องเก็บไบเสร็จเอาไว้เผื่อจะแลกคืนตอนออกจากประเทศจีน อีกอย่างหนึ่งเป็นเงินที่ชาวจีนใช้จ่ายในตลาดในเมือง แต่จะเข้าไปซื้อของในร้านมิตรภาพไม่ได้ เพราะร้านมิตรภาพเปิดขายให้สำหรับนักท่องเที่ยวเท่านั้น ชาวจีนทั่วๆไปไม่ยอมเป็นมิตรด้วย เพราะถ้าหากให้ชาวจีนเข้าไปซื้อได้ละก้อ ผมว่าต้องมีร้านแบบนี้เป็นแสนๆแห่งแน่ๆ ถึงจะพอบริการพี่น้องชาวจีนพันกว่าล้านคน หน่วยเงินของจีนเขาก็เรียกว่า หย่วน ๑ หย่วน= ๑๒ บาทไทย หนึ่งหย่วนแตกออกเป็น ๑๐ กั๊ก (ยังกะเหล้า ) หรือ ๑๐ เหมา หนึ่งกั๊ก (เริ่มจะเมา ) = ๑๐ เฟิน
เพราะฉนั้น ๑ เฟิน ก็จะเท่ากับ ๑.๒ สตางค์ของไทย
เงินหนึ่งสตางค์ของไทยเราเป็นทองแดงมีรูตรงกลาง ปัจจุบันนี้มีให้เห็นก็คงจะเป็นที่ พิพิธภัณฑ์ เท่านั้นแหละครับ ส่วนของจีนเขายังมีใช้อยู่ทั้งที่เป็น ธนบัตร และเป็น เหรียญ เหรียญเฟินนี่แหละครับเป็นเหรียญวิเศษ เพราะลอยน้ำก็ได้ ติดกับกำแพงปูนซิเมนต์ก็ได้ ไม่เรียกว่าเหรียญวิเศษก็ไม่รู้จะหาคำไหนเหมาะสมกว่านี้อีกแล้วครับ ตอนผมนำไปเที่ยวเมืองจีน รายการไปชมวัดของพระธิเบตในปักกิ่ง ผมเห็นผู้คนร่วมยี่สิบคนรุมล้อมอ่างน้ำใบใหญ่ ผมถามไกด์ว่า เขารุมดูอะไรกัน ซึ่งความจริงก็ไม่น่าแปลกเพราะคนจีนชอบล้อมดูอยู่แล้วไม่ว่าอะไร สุภาพสตรีในคณะผมสวมกระโปรงสั้นสีแดงใส่ถุงน่องสีขาวก็รุมดู บางครั้งถึงกับเดินตามเป็นพรวน เห็นเปลี่ยนฟิล์มถ่ายรูปกล้อง ยาชิก้า ก็รุมดู เพราะชาวจีนมีแต่กล้องโบราณแบบกล่องคล้องคอ คนถ่ายก็ก้มหน้าเล็ง ยิ่งเห็นกล้องแบบ โพราลอยด์ ถ่ายปุ๊ปออกมาเป็นรูปั๊ปยิ่งมุงหนักยังกะมีปาหี่ โดยเฉพาะตอนที่รูปถ่ายเลื่อนออกมาจากกล้องยังมัวๆอยู่ๆและค่อยๆชัดขึ้นเรื่อยๆ อาตี๋ อาหมวย อาซิ้ม ที่รุมดูอยู่ถึงกับผงะร้อง "ไอ๊ย่า" ออกมาพร้อมๆกันโดยมิได้ันัดหมาย
แหมนอกเรื่องซะไกลหลายลี้นะครับ ไกด์ก็ตอบว่า อ่างน้ำสำหรับทำบุญ คนที่มาวัดจะเอาเหรียญมาทำบุญ โดยเอาเหรียญวางบนน้ำ ให้เหรียญลอยอยู่ ถ้าเหรียญจมลงไปก็จะเป็นของวัด "ฮ้า" ผมร้องขึ้น เหรียญลอยน้ำได้เหรอ "ได้ซิครับ ไปดูใกล้ๆซิ " ไกด์ชวนผมเดินตามไปดู เห็นคนกำลังบรรจงวางเหรียญสีขาวเล็กๆบนผิวน้ำ แล้วมันก็ลอยนิ่งอยู่อย่างั้น "ไอ๊ย่า" ผมร้องเองคราวนี้ "ลองดูไหม?" ไกด์ถามผมพร้อมกับยื่นเหรียญมาให้ ผมจับดูถึงรู้ว่ามันลอยน้ำได้แน่ๆชั่วครู่หนึ่งถ้าหากน้ำนิ่ง เพราะเหรียญเฟินเป็นอะลูมิเนียมเบาหวิวยังกับกระดาษและบาง ผมก็ค่อยๆวางบนผิวน้ำอย่างนิ่มนวล (ตามแบบฉบับมือช่างทองว่าเข้าไปนั่น) เหรียญก็ลอยได้เหมือนกัน ไกด์ชมว่าผมนี่เป็นคนมีบุญ เพราะคนไม่มีบุญถ้าวางละก้อเหรียญจะจมเลย ผมก็พูดอยางถ่อมตัวว่า "ใครๆเขาก็ว่าอย่างนี้แหละ"
หลังจากนั้นเราก็ไปเที่ยว "หางโจว" เมืองที่มีสมญาว่า " ถ้าสวรรค์มีบนดินละก้อ หางโจวนี่แหละคือสวรรค์ " เพราะธรรมชาติสวยงาม มีทะเลสาบเกาะแก่งมากมาย หลังจากเที่ยวทะเลสาบเสร็จ ก็ไปเยี่ยมสถานสักการะวีรชนของ " จอมทัพเยี๊ยะเฟ่ย " ถ้าท่านไม่รู้จักละก้อผมจะบอกให้ว่า ชาวแต้จิ๋วเรียกว่า "งักฮุย" ยังไงล่ะครับ ถึงบางอ้อแล้วใช่ไหมครับ หลังจากที่งักฮุยเสียชีวิตเพราะถูกประหารแล้วด้วยการเพ็ดทูลของขุนนางกังฉิน เขาก็เอาศพมาฝังไว้ที่หางโจวนี่ ต่อมาความจริงปรากฏขึ้น ขุนนางกังฉินผู้นั้นก็ถูกตัดสินประหารชีวิตเช่นกัน อนุสาวรีย์ของขุนนางและของภรรยานั้งคุกเขาก้มหน้าก็อยู่ที่นี่ เป็นเหล็กครับ และมีรั้วล้อมไว้อีก กลัวอนุสาวรีย์จะลุกขึ้นวิ่งหนี ที่ทำให้เป็นเหล็กนี่จะได้ทนมือทนเท้าชาวจีนนับล้านคนที่มาเที่ยวที่นี่ เพราะใครมาถึงก็จะเขกกะบาลบ้าง เตะต่อยบ้าง ด้วยความโกรธแค้น พอเขกกะบาลทียิ่งแค้นหนัก เพราะเอามือเข้าไปเขกเหล็กเข้าเต็มที่ ก็เลยถุยน้ำลายละซะเลยด้วยความแค้น จนอนุสาวรีย์มีแต่คราบน้ำลาย
พอผ่านเลยอนุสาวรีย์ขุนนางกังฉิน เข้าไปก็เป็นฮวงซุ้ยของจอมทัพ "งักฮุย" ผู้ยิ่งใหญ่ ก่อเป็นซีเมนต์รูปกลมกว้าง มีเนินดินสวยงาม ซีเมนต์ที่ก่อรอบฮวงซุ้ยนี่แหละที่ชาวจีนเอาเหรียญเฟินมาติด ซีเมนต์ชื้นนิดๆเอาเหรียญบางไปแนบมันก็อยู่ได้ละครับ สักครู่มันก็หล่นลงมา
ผมเอาเหรียญห้าบาทไทยใหญ่เบ้อเร้อเคาะกับพื้นซีเมนต์ดังกริ๊งๆ เรียกชาวจีนมุงมามุงดูแน่น ผมบอกไกด์ว่า ผมจะเอาเหรียญของไทยนี่ติดกำแพง ไกด์บอกว่า เป็นไปไม่ได้ที่เหรียญหนักขนาดนี้จะติดอยู่ อาซิ้มยืนอยู่ใกล้ๆกับลูกสาวบอกว่า ถ้าติดอยู่ละก้อจะยกลูกสาวให้ ไกด์แปลให้ฟัง ผมมองหน้าตกกระ ผมกระเซิง ฟันติดใบกุ่ยช่าย ของลูกสาวซิ้ม แล้วบอกว่า ถ้าผมติดได้ผมขอลูกพลับในถุงทีซิ้มถืออยู่นั้นดีกว่า ลูกสาวไม่เอาหรอก พอไกด์แปลให้ซิ้มและลูกสาวฟัง ผมก็เห็นอาการผู้หญิสากลทั้วโลกที่ไม่พอใจคือ อาการค้อน แต่ถ้าติดไม่อยู่ ผมยินดีที่จะยกเงินจีนที่ผมแลกมานี้ทั้งหมดให้อาซิืม ( ความจริงผมเหลือเงินแค่ ๒ หย่วน กับ ๔ กั๊ก เท่านั้น เพราะซื้อเหมาไถซดเกือบหมดแล้ว) อาซิ้มร้อง "ฮ้อ" เป็นอันตกลง ผมก็แกล้งเอาเหรียญห้าบาทยกขึ้นจบแล้วทำเป็นร่ายมนต์ปากมุบมิบมุบมิบ แล้วค่อยเอาเหรียญห้าบาทติดกำแพง ค่อยๆคลึง เบาๆ พอถอนมือออก เหรียญห้าบาทติดกำแพงแน่นสนิท ชาวจีนที่รุมดูเกือบห้าสิบคนร้องไอ๊ย่าออกมาพร้อมๆกัน อาซิ้มถึงกับขยี้ตาอย่างไม่เชื่อตัวเอง ผมบอกว่าถ้าหากเหรียญหล่นลงมาขอให้เป็นสมบัติอาซิ้ม ส่วนลูกพลับในถุงที่ิ้ิ้อาซิ้มถือมาต้องเป็นสมบัติของผมตามสัญญา อาซิ้มยื่นถุงลูกพลับให้อย่างเลื่อยลอย แล้วนั่งคอยเหรียญจะตกลงมา ส่วนผมสะกิดให้ไกด์ชาวจึนกลับไปขึ้นรถ บนรถยนต์ผมเอาลูกพลับตัดแบ่งให้นักท่องเที่ยวเกือบยี่สิบคนกินกัน ถามกันให้แซ่ดว่า ไปซื้อจากไหนมาอร่อยมาก แถวนี้ไม่เห็นมีขาย ผมบอกว่าคนจีนเขาให้มา
ไกด์ชาวจีนยังไม่หายสงสัยว่าเหรียญมันติดอยู่ได้อย่างไงกัน ผมไม่อยากจะหลอกคนใกล้ชิดกัน ผมก็อ้าปากให้ดูแล้วบอกว่า เห็นหมากฝรั่งที่ผมเคี้ยวอยู่นี่ไหม ตอนที่ผมเอาเหรียญขึ้นไปจบทำเป็นท่องมนต์นั่นนะ ผมกัดหมากฝรั่งเป็นก้อนเล็กๆเท่าหัวไม่ขีดไฟ แล้วติดกับเหรียญด้านที่ติดกำแพง แค่นั้นก็เหลือที่เหรียญจะติดแล้ว
"ว้า ถ้าอย่างนั้นสองแม่ลูกนั้นคงรอถึงเย็นละซิเหรียญมันถึงจะตกลงมา " ไกด์ว่า
"คงเป็นพรุ่งนี้เช้ามากกว่า" ผมว่า และหากสองแม่ลูกเขาจับได้ว่าผมติดเหรียญไว้ยังไงละก้อ ผมว่าคงโดนหนักกว่าขุนนางกังฉินสองผัวเมียนั่นเป็นแน่
(เรื่อง ใน นิตยสาร เที่ยวรอบโลก ปีที่ ๓ ฉบับที่ ๓๒ เมษายน ๒๕๒๘ )
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น