วันศุกร์ที่ 14 พฤศจิกายน พ.ศ. 2557

จีน พ.ศ.๒๕๒๘

ขำขันบันทึก

                                                    โดย  นายมัคคุเทศก์
เหรียญวิเศษ

ถ้าท่านที่เคยไปเมืองจีนมาแล้วคงจะปวดหัวไม่เบากับการใช้เงินของประเทศจีนเขา  เพราะเขามีเงินสองอย่าง  อย่างหนึ่งสำหรับนักท่องเที่ยวที่เอาเงินสกุลต่างประเทศ  เช่น  ยูเอสดอลล่าร์  ฮ่องกงดอลล่าร์ ไปแลกมาและจะต้องเก็บไบเสร็จเอาไว้เผื่อจะแลกคืนตอนออกจากประเทศจีน   อีกอย่างหนึ่งเป็นเงินที่ชาวจีนใช้จ่ายในตลาดในเมือง  แต่จะเข้าไปซื้อของในร้านมิตรภาพไม่ได้  เพราะร้านมิตรภาพเปิดขายให้สำหรับนักท่องเที่ยวเท่านั้น  ชาวจีนทั่วๆไปไม่ยอมเป็นมิตรด้วย  เพราะถ้าหากให้ชาวจีนเข้าไปซื้อได้ละก้อ  ผมว่าต้องมีร้านแบบนี้เป็นแสนๆแห่งแน่ๆ ถึงจะพอบริการพี่น้องชาวจีนพันกว่าล้านคน  หน่วยเงินของจีนเขาก็เรียกว่า หย่วน  ๑ หย่วน= ๑๒ บาทไทย  หนึ่งหย่วนแตกออกเป็น ๑๐ กั๊ก (ยังกะเหล้า ) หรือ ๑๐ เหมา  หนึ่งกั๊ก (เริ่มจะเมา ) = ๑๐ เฟิน

เพราะฉนั้น  ๑ เฟิน ก็จะเท่ากับ  ๑.๒ สตางค์ของไทย

เงินหนึ่งสตางค์ของไทยเราเป็นทองแดงมีรูตรงกลาง  ปัจจุบันนี้มีให้เห็นก็คงจะเป็นที่ พิพิธภัณฑ์ เท่านั้นแหละครับ  ส่วนของจีนเขายังมีใช้อยู่ทั้งที่เป็น ธนบัตร และเป็น เหรียญ   เหรียญเฟินนี่แหละครับเป็นเหรียญวิเศษ เพราะลอยน้ำก็ได้  ติดกับกำแพงปูนซิเมนต์ก็ได้  ไม่เรียกว่าเหรียญวิเศษก็ไม่รู้จะหาคำไหนเหมาะสมกว่านี้อีกแล้วครับ  ตอนผมนำไปเที่ยวเมืองจีน รายการไปชมวัดของพระธิเบตในปักกิ่ง  ผมเห็นผู้คนร่วมยี่สิบคนรุมล้อมอ่างน้ำใบใหญ่  ผมถามไกด์ว่า เขารุมดูอะไรกัน ซึ่งความจริงก็ไม่น่าแปลกเพราะคนจีนชอบล้อมดูอยู่แล้วไม่ว่าอะไร   สุภาพสตรีในคณะผมสวมกระโปรงสั้นสีแดงใส่ถุงน่องสีขาวก็รุมดู บางครั้งถึงกับเดินตามเป็นพรวน  เห็นเปลี่ยนฟิล์มถ่ายรูปกล้อง ยาชิก้า ก็รุมดู  เพราะชาวจีนมีแต่กล้องโบราณแบบกล่องคล้องคอ คนถ่ายก็ก้มหน้าเล็ง  ยิ่งเห็นกล้องแบบ โพราลอยด์ ถ่ายปุ๊ปออกมาเป็นรูปั๊ปยิ่งมุงหนักยังกะมีปาหี่ โดยเฉพาะตอนที่รูปถ่ายเลื่อนออกมาจากกล้องยังมัวๆอยู่ๆและค่อยๆชัดขึ้นเรื่อยๆ อาตี๋  อาหมวย  อาซิ้ม  ที่รุมดูอยู่ถึงกับผงะร้อง "ไอ๊ย่า"  ออกมาพร้อมๆกันโดยมิได้ันัดหมาย

แหมนอกเรื่องซะไกลหลายลี้นะครับ  ไกด์ก็ตอบว่า อ่างน้ำสำหรับทำบุญ  คนที่มาวัดจะเอาเหรียญมาทำบุญ โดยเอาเหรียญวางบนน้ำ ให้เหรียญลอยอยู่  ถ้าเหรียญจมลงไปก็จะเป็นของวัด  "ฮ้า"  ผมร้องขึ้น  เหรียญลอยน้ำได้เหรอ  "ได้ซิครับ ไปดูใกล้ๆซิ " ไกด์ชวนผมเดินตามไปดู เห็นคนกำลังบรรจงวางเหรียญสีขาวเล็กๆบนผิวน้ำ แล้วมันก็ลอยนิ่งอยู่อย่างั้น  "ไอ๊ย่า" ผมร้องเองคราวนี้  "ลองดูไหม?" ไกด์ถามผมพร้อมกับยื่นเหรียญมาให้  ผมจับดูถึงรู้ว่ามันลอยน้ำได้แน่ๆชั่วครู่หนึ่งถ้าหากน้ำนิ่ง  เพราะเหรียญเฟินเป็นอะลูมิเนียมเบาหวิวยังกับกระดาษและบาง  ผมก็ค่อยๆวางบนผิวน้ำอย่างนิ่มนวล (ตามแบบฉบับมือช่างทองว่าเข้าไปนั่น) เหรียญก็ลอยได้เหมือนกัน  ไกด์ชมว่าผมนี่เป็นคนมีบุญ  เพราะคนไม่มีบุญถ้าวางละก้อเหรียญจะจมเลย  ผมก็พูดอยางถ่อมตัวว่า  "ใครๆเขาก็ว่าอย่างนี้แหละ"

หลังจากนั้นเราก็ไปเที่ยว "หางโจว"  เมืองที่มีสมญาว่า " ถ้าสวรรค์มีบนดินละก้อ  หางโจวนี่แหละคือสวรรค์ "  เพราะธรรมชาติสวยงาม มีทะเลสาบเกาะแก่งมากมาย  หลังจากเที่ยวทะเลสาบเสร็จ ก็ไปเยี่ยมสถานสักการะวีรชนของ " จอมทัพเยี๊ยะเฟ่ย " ถ้าท่านไม่รู้จักละก้อผมจะบอกให้ว่า ชาวแต้จิ๋วเรียกว่า  "งักฮุย" ยังไงล่ะครับ   ถึงบางอ้อแล้วใช่ไหมครับ  หลังจากที่งักฮุยเสียชีวิตเพราะถูกประหารแล้วด้วยการเพ็ดทูลของขุนนางกังฉิน เขาก็เอาศพมาฝังไว้ที่หางโจวนี่  ต่อมาความจริงปรากฏขึ้น ขุนนางกังฉินผู้นั้นก็ถูกตัดสินประหารชีวิตเช่นกัน  อนุสาวรีย์ของขุนนางและของภรรยานั้งคุกเขาก้มหน้าก็อยู่ที่นี่ เป็นเหล็กครับ  และมีรั้วล้อมไว้อีก กลัวอนุสาวรีย์จะลุกขึ้นวิ่งหนี  ที่ทำให้เป็นเหล็กนี่จะได้ทนมือทนเท้าชาวจีนนับล้านคนที่มาเที่ยวที่นี่ เพราะใครมาถึงก็จะเขกกะบาลบ้าง เตะต่อยบ้าง ด้วยความโกรธแค้น  พอเขกกะบาลทียิ่งแค้นหนัก เพราะเอามือเข้าไปเขกเหล็กเข้าเต็มที่ ก็เลยถุยน้ำลายละซะเลยด้วยความแค้น จนอนุสาวรีย์มีแต่คราบน้ำลาย

พอผ่านเลยอนุสาวรีย์ขุนนางกังฉิน  เข้าไปก็เป็นฮวงซุ้ยของจอมทัพ "งักฮุย" ผู้ยิ่งใหญ่ ก่อเป็นซีเมนต์รูปกลมกว้าง มีเนินดินสวยงาม  ซีเมนต์ที่ก่อรอบฮวงซุ้ยนี่แหละที่ชาวจีนเอาเหรียญเฟินมาติด  ซีเมนต์ชื้นนิดๆเอาเหรียญบางไปแนบมันก็อยู่ได้ละครับ สักครู่มันก็หล่นลงมา

ผมเอาเหรียญห้าบาทไทยใหญ่เบ้อเร้อเคาะกับพื้นซีเมนต์ดังกริ๊งๆ เรียกชาวจีนมุงมามุงดูแน่น  ผมบอกไกด์ว่า  ผมจะเอาเหรียญของไทยนี่ติดกำแพง  ไกด์บอกว่า  เป็นไปไม่ได้ที่เหรียญหนักขนาดนี้จะติดอยู่  อาซิ้มยืนอยู่ใกล้ๆกับลูกสาวบอกว่า  ถ้าติดอยู่ละก้อจะยกลูกสาวให้ ไกด์แปลให้ฟัง  ผมมองหน้าตกกระ ผมกระเซิง ฟันติดใบกุ่ยช่าย ของลูกสาวซิ้ม แล้วบอกว่า ถ้าผมติดได้ผมขอลูกพลับในถุงทีซิ้มถืออยู่นั้นดีกว่า ลูกสาวไม่เอาหรอก  พอไกด์แปลให้ซิ้มและลูกสาวฟัง ผมก็เห็นอาการผู้หญิสากลทั้วโลกที่ไม่พอใจคือ  อาการค้อน  แต่ถ้าติดไม่อยู่ ผมยินดีที่จะยกเงินจีนที่ผมแลกมานี้ทั้งหมดให้อาซิืม ( ความจริงผมเหลือเงินแค่ ๒ หย่วน กับ ๔ กั๊ก เท่านั้น เพราะซื้อเหมาไถซดเกือบหมดแล้ว)  อาซิ้มร้อง "ฮ้อ"  เป็นอันตกลง  ผมก็แกล้งเอาเหรียญห้าบาทยกขึ้นจบแล้วทำเป็นร่ายมนต์ปากมุบมิบมุบมิบ แล้วค่อยเอาเหรียญห้าบาทติดกำแพง ค่อยๆคลึง เบาๆ  พอถอนมือออก เหรียญห้าบาทติดกำแพงแน่นสนิท  ชาวจีนที่รุมดูเกือบห้าสิบคนร้องไอ๊ย่าออกมาพร้อมๆกัน อาซิ้มถึงกับขยี้ตาอย่างไม่เชื่อตัวเอง  ผมบอกว่าถ้าหากเหรียญหล่นลงมาขอให้เป็นสมบัติอาซิ้ม  ส่วนลูกพลับในถุงที่ิ้ิ้อาซิ้มถือมาต้องเป็นสมบัติของผมตามสัญญา  อาซิ้มยื่นถุงลูกพลับให้อย่างเลื่อยลอย แล้วนั่งคอยเหรียญจะตกลงมา  ส่วนผมสะกิดให้ไกด์ชาวจึนกลับไปขึ้นรถ  บนรถยนต์ผมเอาลูกพลับตัดแบ่งให้นักท่องเที่ยวเกือบยี่สิบคนกินกัน  ถามกันให้แซ่ดว่า ไปซื้อจากไหนมาอร่อยมาก แถวนี้ไม่เห็นมีขาย  ผมบอกว่าคนจีนเขาให้มา

ไกด์ชาวจีนยังไม่หายสงสัยว่าเหรียญมันติดอยู่ได้อย่างไงกัน  ผมไม่อยากจะหลอกคนใกล้ชิดกัน  ผมก็อ้าปากให้ดูแล้วบอกว่า เห็นหมากฝรั่งที่ผมเคี้ยวอยู่นี่ไหม  ตอนที่ผมเอาเหรียญขึ้นไปจบทำเป็นท่องมนต์นั่นนะ ผมกัดหมากฝรั่งเป็นก้อนเล็กๆเท่าหัวไม่ขีดไฟ แล้วติดกับเหรียญด้านที่ติดกำแพง แค่นั้นก็เหลือที่เหรียญจะติดแล้ว

"ว้า ถ้าอย่างนั้นสองแม่ลูกนั้นคงรอถึงเย็นละซิเหรียญมันถึงจะตกลงมา "  ไกด์ว่า

"คงเป็นพรุ่งนี้เช้ามากกว่า" ผมว่า  และหากสองแม่ลูกเขาจับได้ว่าผมติดเหรียญไว้ยังไงละก้อ ผมว่าคงโดนหนักกว่าขุนนางกังฉินสองผัวเมียนั่นเป็นแน่

(เรื่อง ใน นิตยสาร เที่ยวรอบโลก ปีที่ ๓  ฉบับที่ ๓๒  เมษายน ๒๕๒๘ )



ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น