วันพฤหัสบดีที่ 20 พฤศจิกายน พ.ศ. 2557

สร้างเขื่อน ใน ประเทศไทย ของเรา


นักศึกษา ๑๔ สถาบันนำโดยมหาวิทยาลัยมหิดล  รนรงค์คัดค้านการสร้างเขื่อนน้ำโจนอย่างแข็งขัน
 กฟผ.ไม่สามารถหยุดเสียงคัดค้านได้ ถึงแม้คณะกรรมการสภาพัฒนาสังคมและเศรษฐกิจแห่งชาติจะสนับสนุนโครงการนี้อย่างเต็มที่ และธนาคารโลกเองก็อนุมัติเงินกู้สำหรับโครงการนี้แล้วก็ตาม  แต่เสียงคัดค้านก็ทวีขึ้นในกลุ่มประชาชนต่างๆ ทั้งนักอนุรักษ์สิ่งแวดล้อม นักโบราณคดี นักธรณีวิทยา นักกฏหมาย สื่อมวลชน  ตลอดจนประชาชนใน จังหวัดกาญจนบุรี และ สมุทรสงคราม  ต่างแสดงความคิดเห็นและประสบการณ์ส่วนตัว  เพื่อชี้ให้เห็นถึงความผิดพลาดและผลเสียที่จะเกิดจากการสร้างเขื่อนนี้  รวมทั้งในหมู่นักวิชาการ ก็ได้มีการวิพากษ์วิจารณ์กันอย่างกว้างขวาง  ว่าอะไรคือผลประโยชน์ที่แท้จริงที่จูงใจให้ธนาคารโลกอนุมัติเงินกู้แก่โครงการขนาดใหญ่  นับเป็นการคัดค้านอย่างเป็นระบบและ  น่าทึ่ง เพราะมีการระดมความคิดในแง่มุมต่างๆ เพื่อจุดประสงค์เดียวกัน

เหตุผลในการระงับ

๑. รายงานการศึกษาที่ กฟผ. จัดเตรียมและสภาพัฒน์ฯเป็นผู้เสนอต่อคณะรัฐมนตรีนั้น มีข้อมูลที่ไม่น่าเชื่อถือ  ไม่ได้ตั้งอยู่บนพื้นฐานแห่งความจริง  ฯลฯ

๒. เขื่อนขนาดใหญ่น่าจะมีข้ออ่อนในเรื่องขนาด  เนื่องจากต้องกักเก็บน้ำเป็นปริมาณกว้าง และระดับน้ำจะขึ้นๆลงๆ ตามภาวะน้ำฝนด้วย  ระดับน้ำในปีที่มีน้ำมากกับน้ำน้อยอาจต่างๆกันถึงหนึ่งในสาม ฯลฯ

๓. ฯลฯ ยิ่งกว่านั้นประเทศไทยยังขุดพบถ่านลิกไนต์ น้ำมันและก๊าซบนฝั่งและในทะเลได้มากขึ้นเรื่อยๆฯลฯ

๔. รายงานการศึกษาความเป็นไปได้ในการสร้างเขื่อนน้ำโจน ไม่ได้มีการพิจารณาถึงต้นทุนด้านสังคม และสิ่งแวดล้อมซึ่งจะต้องเกิดขึ้นทั่วประเทศ  ถ้ามีการคิดต้นทุนในแง่ราคาและความอุดมสมบูรณ์ของที่ดินและป่าไม้แล้ว  การสูญเสียความอุดมสมบูรณ์ของลำน้ำตอนล่างของเขื่อน และการสูญเสียผลผลิตที่ควรได้ในอ่าวไทย ซึ่งเกิดจากการสูญเสียธาตุอาหารที่จะพัดพาจากแม่น้ำสู่อ่าวไทย  ย่อมทำให้สัดส่วนผลประโยชน์ที่จะได้รับจากการสร้างเขื่อนตามที่ชี้แจงไว้ในโครงการลดน้อยลง  จนอาจไม่คุ้มทุน

๕. การสูญเสียคุณประโยชน์ทางโบราณคดีและมานุษยวิทยา ฯลฯ

๖. กาญจนบุรีมีแร่ธาตุที่อุดมสมบูรณ์มาก ฯลฯ

๗. ฯลฯ มูลค่าของแร่ธาตุและแหล่งโบราณคดีอาจเป็น ๓ เท่าของตัวเขื่อนก็ได้  การพยายามแก้ไขปัญหาด้วยงบประมาณดังกล่าว  จึงเป็นเหมือนการตัดอวัยวะสำคัญออกแล้วจ่ายพลาสเตอร์และยาปฏิชีวนะแทน

๘. มีเอกสารเกี่ยวกับมูลค่าของป่า และสัตว์ป่าที่จะถูกทำลาย ไปเพราะการสร้างเขื่อนน้ำโจน ฯลฯ


๙. เนื่องจากข้าพเจ้ากังวลเกี่ยวกับความปลอดภัย  จึงได้แย้ง กฟผ.ที่อ้างว่าเขื่อนนี้มีความปลอดภัยเต็มที่  ข้าพเจ้าบอกว่าไม่มีเขื่อนใดที่มีความปลอดภัยร้อยเปอร์เซ็นต์ ฯลฯ

(นิตยสาร  สารคดี ฉบับที่ ๗๕  ปีที่ ๗   เดือนพฤษภาคม ๒๕๓๔)

ปัจจุบันนี้ พุทธศักราช ๒๕๕๗ แผ่นดินไหวเกิดขึ้นในประเทศไทยมากขึ้น นะ

วันพุธที่ 19 พฤศจิกายน พ.ศ. 2557

น้้ำโจน ถึง ป่าแม่วงก์

น้ำโจน  เป็นผืนป่าที่มีคุณค่า ดุจเดียวกับ เกาะกาลาปากอส  ผมไม่ได้คิดเองนะ  แต่เรื่องนี้มีปรากฏในหนังสือ สารคดี ฉบับที่ ๑๔  ปีที่ ๒ มีนาคม ๒๕๒๙ ว่า


เมื่อปลายเดือนมกราคมที่ผ่านมา  เจ้าชายเบิร์นฮาร์ดแห่งเนเธอร์แลนด์ เสด็จเยือนประเทศไทย เพื่อดูงานด้านอนุรักษ์ธรรมชาติ  พระองค์ทรงเปิดเผยว่า  ในสายตาของกองทุนอนุรักษ์สัตว์ป่าสากล  เห็นว่าประเทศไทยเป็น ๑ ใน ๑๔ ประเทศของโลกขณะนี้ ที่เป็นตัวอย่างอันดีในการดำเนินงานเกี่ยวกับการอนุรักษ์ธรรมชาติ โดยเฉพาะการมีอุทยานแห่งชาติหลายแห่ง  ในขณะที่ป่าเมืองร้อนในในแถบเอเชียกำลังถูกทำลายลงอย่างรวดเร็ว  เนื่องจากมีการศึกษาพบว่า มีสมุนไพรที่ใช้รักษาโรคหลายชนิดอยู่ในพื้นที่ป่าแถบนี้    นอกจากนั้น เจ้าชายเบิร์นฮาร์ด  ยังทรงกล่าวถึงธรรมชาติบริเวณน้ำโจน ที่ จังหวัดกาญจนบุรี ว่า เป็นป่าที่สวยงามมากเท่าที่ทรงพบ  และทรงเห็นว่าบริเวณนี้ไม่ควรจะมีการสร้างเขื่อนขนาดใหญ่  เนื่องจากต้นไม้อายุพันๆปีจะถูกทำลาย  ป่าบริเวณน้ำโจนควรจะมีการขึ้นทะเบียนเป็นสมบัติของโลก เช่นเดียวกับที่เกาะกาลาปากอส  ซึ่ง ชาร์ล ดาร์วิน เคยไปใช้ชีวิตอยู่

จากข้อมูลที่พบ  คณะรัฐมนตรีมีมติระงับการสร้างเขื่อนน้ำโจน เมื่อวันที่ ๔ เมษายน พ.ศ.๒๕๓๑

ป่าแม่วงก์  ก็มีโครงการจะสร้างเขื่อนเหมือนกัน  คราวนี้ คุณศศิน  เฉลิมลาภ เลขามูลนิธิสืบนาคะเสถียร  เคลื่อนไหวคัดค้าน (น้ำโจน   มี คุณสืบ นาคะเสถียร รวมอยู่ด้วย ในกลุ่มใหญ่ที่ร่วมคัดค้าน)
วันนี้ ( ๑๙ พฤศจิกายน ๒๕๕๗ ) คุณศศิน มาออกรายการของคุณจอมขวัญ ช่องเนชั่น  ได้ความว่าอธิบดีกรมอุทยานแห่งชาติมีความเห็นว่า "ไม่สมควรสร้างเขื่อนที่ป่าแม่วงก์"  ผมก็หวังว่ากรมชลประทานควรถอนโครงการนี้เสีย

จุดประสงค์หลักในการสร้างเขื่อนในป่าแม่วงก์  คือ เพื่อให้เกษตรกรมีน้ำใช้  และป้องกันน้ำท่วม  คุ้มละหรือ   แล้วเขื่อนศรีนครินทร์ ในพื้นที่กาญจนบุรี  เกษตรกรได้ใช้น้ำสักเท่าไรกัน    ปี๒๕๕๔  ก็พิสูจน์แล้วว่าเขื่อนก็ช่วยป้องกันน้ำท่วมไม่ได้

คิดกันแต่โครงการใหญ่ๆ  โครงการกักเก็บน้ำเพื่อเกษตรกร โดยไม่ต้องทำลายผืนป่าจำนวนมาก  ไม่น่ายากที่จะคิด  อ่างเก็บน้ำห่างจากที่ว่าการอำเภอหนองปรือ จังหวัดกาญจนบุรี  มีโครงการไม่น้อยกว่า ๑๐ ปี  เพิ่งมาสร้างเมื่อประมาณ ๕ ปี จนบัดนี้ยังไม่เสร็จเลย  เกษตรกรก็รอแต่น้ำฝนเท่านั้น

ข้ออ้างที่จะสร้างเขื่อนแม่วงก์ เพื่อเกษตรกรนั้น  ทำให้ประชาชนเกิดความขัดแย้งกันเปล่าๆ  เขื่อนแต่ละแห่งเกษตรกรในพื้นได้รับน้ำกันทั่วถึงจริงหรือ

คสช.  คืนความสุขให้ผมได้จริงๆ รู้สึกเช่นนั้นจริงๆ  แม้ความคิดก็ไม่เชื่อว่าเป็นไปได้  แต่อัฟริกาใต้ช่วงระยะเวลา ๕ ปี แห่งการพยายามก็มีการนองเลือดมาก(สารคดี ช่องไทยพีบีเอส)  ผมคิดว่าเหตุการณ์ที่เป็นสาเหตุให้มี คสช. คือจุดต่ำสุดของประเทศไทยแล้ว  มีเรื่องที่สำคัญเร่งด่วนอีกมาก  มากกว่า  จำเป็นกว่า  เขื่อน

คืนความสุขให้ผมเถอะครับ  อึดอัด

วันอังคารที่ 18 พฤศจิกายน พ.ศ. 2557

พม่า พ.ศ.๒๕๒๙

พม่า   ประเทศที่ได้รับการกล่าวขานว่า "เป็นดินแดนแห่งหนึ่งในจำนวนไม่กี่แห่งของโลกปัจจุบัน ซึ่งอารยธรรมตะวันตกอันน่ารังเกียจยังมิได้เข้าไปครอบงำ "
   
พม่าปิดประตูประเทศอยู่ช้านาน ด้วยหมายมุงมั่นจะสร้างชาติ ฟื้นฟูประเทศตามลำพัง โดยให้คงไว้ซึ่งแบบแผนประเพณี  ขนบธรรมเนียม  วัฒนธรรม และชีวิตความเป็นอยู่ดังเช่นที่เคยเป็นมา  เหตุที่เป็นดังนี้สืบเนื่องมาจากการที่พม่าต้องอยู่ในปกครองอังกฤษเป็นเวลานาน  และต่อสู้ดิ้นรนจนกระทั่งได้เป็นเอกราชอีกครั้งหนึ่ง ในปี พ.ศ.๒๔๙๑   

ผู้เป็นกำลังสำคัญในการนำทัพเข้าต่อสู้กับอังกฤษอย่างอาจหาญ จนกระทั่งนำมาซึ่งความสงบในพม่าอีกครั้งหนึ่ง ก็คือ  อองซาน  อูนุ  และเนวิน

นายพลเนวิน  ดำรงตำแหน่งประธานพรรคสังคมนิยมแห่งพม่าในปัจจุบัน ถือเสมือนประมุขสูงสุดของประเทศ

การเดินทางไปพม่า จะต้องดำเนินการตามวิธีเข้าเมือง  นั้นคือจะต้องมีเอกสารอนุญาตให้เข้าประเทศ หรือ "วีซ่า"  โดยจะต้องยื่นคำขอจากสถานทูตพม่าในกรุงเทพฯ ก่อนกำหนดเดินทางประมาณ ๑ สัปดาห์ หลังจากที่รู้แน่ชัดแล้วว่าจะเดินทางในวันใด โดยสายการบินอะไร ซึ่งจะต้องจองตั๋วเดินทางกลับพร้อมกันด้วย   

การขอวีซ่าสำหรับนักท่องเที่ยวเข้าประเทศพม่านั้น  กำหนดไว้ครั้งละไม่เกิน ๗ วัน  นักท่องเที่ยวจะต้องรู้ว่า พม่าไม่ประสงค์ให้ "คนนอก" นำแบบอย่างที่ไม่ดีไม่งามเข้าไปเผยแพร่  ถ้าใครชอบที่จะแต่งตัวเหมือนหลุดออกมาจากหนังสือแฟชั่นวัยรุ่นชนิด พั้งก์ ก็ขอให้เก็บเสื้อผ้าเหล่านั้นไว้  เครื่องประดับหรูหรารุ่มร่ามก็ให้ฝากไว้ที่ไหนเสียก่อน  รวมทั้งสิ่งของที่เรียกว่า "ของฟุ่มเฟือย"  อย่าได้ติดเครื่องเสียงชนิดเสียบหูฟังที่เหมือนกับคนหูหนวกเข้าเมืองพม่า...ข้อสำคัญ อย่านำเงินตราต่างประเทศเข้าไปเกินกว่าที่ทางการพม่ากำหนด @
(นิตยสารคดี ฉบับที่๑๕  ปีที่ ๒  เดือนเมษายน ๒๕๒๙ )

วันจันทร์ที่ 17 พฤศจิกายน พ.ศ. 2557

ไก่ ในภาษาไทย

ไก่  ได้ชื่อว่าเป็นสัตว์ที่ใกล้ชิดกับมนุษย์มากพอๆกับ หมา และ แมว  และเป็นสัตว์ที่เกี่ยวพันกับสังคมมากที่สุด โดยเฉพาะสังคมไทย   นอกจากไก่จะเป็นอาหารที่สำคัญของมนุษย์แล้ว  ก.ไก่ยังเป็นตัวแรกในพยัญชนะไทย  ทั้งยังเป็นชื่อเรียกสิ่งของ เช่น อกไก่ (ไม้เครื่องเรือนที่พาดบน เสาดั้ง เป็น สันหลังคา)  ดอกไม้ เช่น ดอกหงอนไก่ หรือ เป็นชื่อการละเล่น เช่น เพลงปรบไก่ เป็นต้น

นอกจากนั้น  มนุษย์ยังสังเกตกิริยาอาการของไก่แล้วนำมาใช้เป็น สำนวน  สุภาษิต  คำพังเพย ดังปรากฏในแทบทุกภาษา  เช่น  อิตาลี มีสำนวนว่า ไข่ฟองเดียววันนี้ ดีกว่าแม่ไก่พรุ่งนี้  ตรงกับสำนวนไทยว่า  สิบเบี้ยใกล้มือ   ส่วน บังกลาเทศ มีสำนวนว่า ไก่รู้ว่างูขู่      มีความหมายเดียวกับสำนวนไทยว่า ไก่เห็นตีนงู งูเห็นนมไก่   สำหรังสุภาษิต  คำพังเพย ที่ปรากฏในภาษาไทยเท่าที่รวบรวมได้มีดังนี้

  • ไก่กินข้าวเปลือก  ธรรมชาติของไก่ชอบกินข้าวเปลือก  จึงนำมาใช้ในทางที่่ว่า  ตราบใดไก่ยังกินข้าวเปลือก คนก็ยังกินสินบนอยู่ตราบนั้น
  • ไก่แก่แม่ปลาช่อน  หญิงค่อนข้างมีอายุที่มีมารยาและเล่ห์เหลี่ยมมาก  หรือมีกิริยาจัดจ้าน
  • ไก่ขึ้นรัง  เวลาพลบค่ำ
  • ไก่เขี่ย  หวัด ยุ่งจนเกือบอ่านไม่ออก (มักใช้แก่ลายมือ)
  • ไก่งามเพราะขน คนงามเพราะแต่ง  ไก่งามตามธรรมชาติ  แต่คนต้องอาศัยการแต่งเพิ่มเติม
  • ไก่านา  โง่เง่า
  • ไก่บินไม่ตก  บ้านเรือนหนาแน่น
  • ไก่รองบ่อน  ผู้ที่อยู่ในฐานะตัวสำรอง ซึ่งจะเรียกมาใช้เมื่อไรก็ได้
  • ไก่เห็นตีนงู งูเห็นนมไก่  ต่างฝ่ายต่างรู้ความลับของกันและกัน  หรือรู้เท่าทันกัน
  • ไก่เห็นพลอย  คนที่ไม่รู้จักคุณค่าหรือราคาของของที่พบ  สำนวนนี้คงมาจากนิทานอีสป เรื่องไก่พบพลอยเม็ดหนึ่งแล้วเดินผ่านไป บ่นว่าพลอยนั้นสู้ข้าวสารข้าวสุกเม็ดเดียวไม่ได้
  • ไก่โห่  เวลารุ่งสาง  ก่อนเวลา  เช่นพูดว่า มาตั้งแต่ไก่โห่
  • ไก่อ่อน  อ่อนหัด  ไม่ชำนาญ
  • งงเป็นไก่ตาแตก  อาการของคนที่ตกอยู่ในภวังค์จิต ทำอะไรไม่ถูกในสถานการณ์
  • เจ้าชู้ไก่แจ้  ผู้ชายที่เกี้ยวผู้หญิงป้อไปป้อมาไม่ได้เรื่องสักที  ทำนองเดียวกับไก่แจ้ที่เดินกรีดกรายเข้าป้อตัวเมีย
  • ซีดเหมือนไก่ต้ม  เปรียบใบหน้าของคนที่มีความหวาดกลัว หรือเพิ่งจะฟื้นไข้ใหม่ๆ ใบหน้ายังซีดเซียวอยู่
  • ตัดหางปล่อยวัด  บอกเลิกไม่รับผิดชอบต่อไป  เหลือขอจนต้องปล่อยไปตามเรื่อง  สำนวนนี้มาจากการสะเดาะเคราะห์ของคนโบราณ ที่มักเอาไก่มาตัดหางแล้วนำไปปล่อยวัด
  • ตื่นก่อนไก่  ตื่นเช้า
  • ปล่อยไก่  ปล่อยความโง่ออกมาให้คนอื่นเห็น  สำนวนนี้น่าจะมาจากนิทานเรื่องหนึ๋งที่ว่า...มีชายแก่คนหนึ่งเป็นคนถือศีลกินเพล  ตาแก่เลี้ยงไก่ไว้เล้าหนึ่ง  เวลาจะกินไก่ก็บอกหลานชายที่เฉลียวฉลาดคนหนึ่งว่า  ไปปล่อยไก่สักตักตัวซิ  เจ้าหลานชายคนนั้นก็ไปจัดการฆ่าไก่มาทำอาหารให้ตาแก่ทุกครั้งเสมอมา  อยู่มาวันหนึ่งหลานชายคนนั้นไม่อยู่ แต่ยังมีหลานอึกคนซึ่งไม่เคยรู้เรื่องนี้มาก่อน  ตาแก่ก็สั่งหลานชายคนนี้ให้ปล่อยไก่อีก แต่หลานคนชายนี้ไม่เฉลียวฉลาดเท่าหลานชายคนก่อน จึงไปจัดการปล่อยไก่เสียหมดเล้า  ตาแก่รู้เข้าโมโหเป็นอันมาก  "ข้านึกว่าแกฉลาด ที่แท้ก็โง่ดักดาน"  เป็นอันว่าสำนวนปล่อยไก่อาจมาจากนิทานเรื่องนี้ก็ได้
  • มีไก่ที่ไหน มีไรที่นั่น  การเปรียบเทียบว่าของสองสิ่งต้องอยู่คู่กันเสมอ  เหมือนความดีคู่กับ  ความชั่ว
  • ลักไก่  หลอกล่อให้หลงเข้าใจผิด  ใช้อุบายลวงให้หลง
  • ลูกไก่อยู่ในกำมือ  ผู้ที่ตกอยู่ในอำนาจ  ผู้ที่ไม่มีทางสู้
  • สมภารกินไก่วัด  ทำกับพวกกันเอง
  • หมาหยอกไก่  ทำที่เล่นทีจริง พอชะล่าใจก็เล่นงานหรือเอาจริง
  • หมูไป ไก่มา  แลกเปลี่ยนสิ่งของกันโดยไม่ให้เสียเปรียบทั้งสองฝ่าย
  • เหยียบขี้ไก่ไม่ฝ่อ  คนที่ทำงานหนักไม่เอา งานเบาไม่สู้
  • เอาเป็ดมาขันประชันไก่  เอาคนที่ด้อยมาแข่งขันกับคนที่เหนือกว่า  @

(นิตยสารสาคดี  ฉบับที่ ๓๖  ปีที่ ๓  เดือนกุมภาพันธ์ ๒๕๓๑)

วันศุกร์ที่ 14 พฤศจิกายน พ.ศ. 2557

จีน พ.ศ.๒๕๒๘

ขำขันบันทึก

                                                    โดย  นายมัคคุเทศก์
เหรียญวิเศษ

ถ้าท่านที่เคยไปเมืองจีนมาแล้วคงจะปวดหัวไม่เบากับการใช้เงินของประเทศจีนเขา  เพราะเขามีเงินสองอย่าง  อย่างหนึ่งสำหรับนักท่องเที่ยวที่เอาเงินสกุลต่างประเทศ  เช่น  ยูเอสดอลล่าร์  ฮ่องกงดอลล่าร์ ไปแลกมาและจะต้องเก็บไบเสร็จเอาไว้เผื่อจะแลกคืนตอนออกจากประเทศจีน   อีกอย่างหนึ่งเป็นเงินที่ชาวจีนใช้จ่ายในตลาดในเมือง  แต่จะเข้าไปซื้อของในร้านมิตรภาพไม่ได้  เพราะร้านมิตรภาพเปิดขายให้สำหรับนักท่องเที่ยวเท่านั้น  ชาวจีนทั่วๆไปไม่ยอมเป็นมิตรด้วย  เพราะถ้าหากให้ชาวจีนเข้าไปซื้อได้ละก้อ  ผมว่าต้องมีร้านแบบนี้เป็นแสนๆแห่งแน่ๆ ถึงจะพอบริการพี่น้องชาวจีนพันกว่าล้านคน  หน่วยเงินของจีนเขาก็เรียกว่า หย่วน  ๑ หย่วน= ๑๒ บาทไทย  หนึ่งหย่วนแตกออกเป็น ๑๐ กั๊ก (ยังกะเหล้า ) หรือ ๑๐ เหมา  หนึ่งกั๊ก (เริ่มจะเมา ) = ๑๐ เฟิน

เพราะฉนั้น  ๑ เฟิน ก็จะเท่ากับ  ๑.๒ สตางค์ของไทย

เงินหนึ่งสตางค์ของไทยเราเป็นทองแดงมีรูตรงกลาง  ปัจจุบันนี้มีให้เห็นก็คงจะเป็นที่ พิพิธภัณฑ์ เท่านั้นแหละครับ  ส่วนของจีนเขายังมีใช้อยู่ทั้งที่เป็น ธนบัตร และเป็น เหรียญ   เหรียญเฟินนี่แหละครับเป็นเหรียญวิเศษ เพราะลอยน้ำก็ได้  ติดกับกำแพงปูนซิเมนต์ก็ได้  ไม่เรียกว่าเหรียญวิเศษก็ไม่รู้จะหาคำไหนเหมาะสมกว่านี้อีกแล้วครับ  ตอนผมนำไปเที่ยวเมืองจีน รายการไปชมวัดของพระธิเบตในปักกิ่ง  ผมเห็นผู้คนร่วมยี่สิบคนรุมล้อมอ่างน้ำใบใหญ่  ผมถามไกด์ว่า เขารุมดูอะไรกัน ซึ่งความจริงก็ไม่น่าแปลกเพราะคนจีนชอบล้อมดูอยู่แล้วไม่ว่าอะไร   สุภาพสตรีในคณะผมสวมกระโปรงสั้นสีแดงใส่ถุงน่องสีขาวก็รุมดู บางครั้งถึงกับเดินตามเป็นพรวน  เห็นเปลี่ยนฟิล์มถ่ายรูปกล้อง ยาชิก้า ก็รุมดู  เพราะชาวจีนมีแต่กล้องโบราณแบบกล่องคล้องคอ คนถ่ายก็ก้มหน้าเล็ง  ยิ่งเห็นกล้องแบบ โพราลอยด์ ถ่ายปุ๊ปออกมาเป็นรูปั๊ปยิ่งมุงหนักยังกะมีปาหี่ โดยเฉพาะตอนที่รูปถ่ายเลื่อนออกมาจากกล้องยังมัวๆอยู่ๆและค่อยๆชัดขึ้นเรื่อยๆ อาตี๋  อาหมวย  อาซิ้ม  ที่รุมดูอยู่ถึงกับผงะร้อง "ไอ๊ย่า"  ออกมาพร้อมๆกันโดยมิได้ันัดหมาย

แหมนอกเรื่องซะไกลหลายลี้นะครับ  ไกด์ก็ตอบว่า อ่างน้ำสำหรับทำบุญ  คนที่มาวัดจะเอาเหรียญมาทำบุญ โดยเอาเหรียญวางบนน้ำ ให้เหรียญลอยอยู่  ถ้าเหรียญจมลงไปก็จะเป็นของวัด  "ฮ้า"  ผมร้องขึ้น  เหรียญลอยน้ำได้เหรอ  "ได้ซิครับ ไปดูใกล้ๆซิ " ไกด์ชวนผมเดินตามไปดู เห็นคนกำลังบรรจงวางเหรียญสีขาวเล็กๆบนผิวน้ำ แล้วมันก็ลอยนิ่งอยู่อย่างั้น  "ไอ๊ย่า" ผมร้องเองคราวนี้  "ลองดูไหม?" ไกด์ถามผมพร้อมกับยื่นเหรียญมาให้  ผมจับดูถึงรู้ว่ามันลอยน้ำได้แน่ๆชั่วครู่หนึ่งถ้าหากน้ำนิ่ง  เพราะเหรียญเฟินเป็นอะลูมิเนียมเบาหวิวยังกับกระดาษและบาง  ผมก็ค่อยๆวางบนผิวน้ำอย่างนิ่มนวล (ตามแบบฉบับมือช่างทองว่าเข้าไปนั่น) เหรียญก็ลอยได้เหมือนกัน  ไกด์ชมว่าผมนี่เป็นคนมีบุญ  เพราะคนไม่มีบุญถ้าวางละก้อเหรียญจะจมเลย  ผมก็พูดอยางถ่อมตัวว่า  "ใครๆเขาก็ว่าอย่างนี้แหละ"

หลังจากนั้นเราก็ไปเที่ยว "หางโจว"  เมืองที่มีสมญาว่า " ถ้าสวรรค์มีบนดินละก้อ  หางโจวนี่แหละคือสวรรค์ "  เพราะธรรมชาติสวยงาม มีทะเลสาบเกาะแก่งมากมาย  หลังจากเที่ยวทะเลสาบเสร็จ ก็ไปเยี่ยมสถานสักการะวีรชนของ " จอมทัพเยี๊ยะเฟ่ย " ถ้าท่านไม่รู้จักละก้อผมจะบอกให้ว่า ชาวแต้จิ๋วเรียกว่า  "งักฮุย" ยังไงล่ะครับ   ถึงบางอ้อแล้วใช่ไหมครับ  หลังจากที่งักฮุยเสียชีวิตเพราะถูกประหารแล้วด้วยการเพ็ดทูลของขุนนางกังฉิน เขาก็เอาศพมาฝังไว้ที่หางโจวนี่  ต่อมาความจริงปรากฏขึ้น ขุนนางกังฉินผู้นั้นก็ถูกตัดสินประหารชีวิตเช่นกัน  อนุสาวรีย์ของขุนนางและของภรรยานั้งคุกเขาก้มหน้าก็อยู่ที่นี่ เป็นเหล็กครับ  และมีรั้วล้อมไว้อีก กลัวอนุสาวรีย์จะลุกขึ้นวิ่งหนี  ที่ทำให้เป็นเหล็กนี่จะได้ทนมือทนเท้าชาวจีนนับล้านคนที่มาเที่ยวที่นี่ เพราะใครมาถึงก็จะเขกกะบาลบ้าง เตะต่อยบ้าง ด้วยความโกรธแค้น  พอเขกกะบาลทียิ่งแค้นหนัก เพราะเอามือเข้าไปเขกเหล็กเข้าเต็มที่ ก็เลยถุยน้ำลายละซะเลยด้วยความแค้น จนอนุสาวรีย์มีแต่คราบน้ำลาย

พอผ่านเลยอนุสาวรีย์ขุนนางกังฉิน  เข้าไปก็เป็นฮวงซุ้ยของจอมทัพ "งักฮุย" ผู้ยิ่งใหญ่ ก่อเป็นซีเมนต์รูปกลมกว้าง มีเนินดินสวยงาม  ซีเมนต์ที่ก่อรอบฮวงซุ้ยนี่แหละที่ชาวจีนเอาเหรียญเฟินมาติด  ซีเมนต์ชื้นนิดๆเอาเหรียญบางไปแนบมันก็อยู่ได้ละครับ สักครู่มันก็หล่นลงมา

ผมเอาเหรียญห้าบาทไทยใหญ่เบ้อเร้อเคาะกับพื้นซีเมนต์ดังกริ๊งๆ เรียกชาวจีนมุงมามุงดูแน่น  ผมบอกไกด์ว่า  ผมจะเอาเหรียญของไทยนี่ติดกำแพง  ไกด์บอกว่า  เป็นไปไม่ได้ที่เหรียญหนักขนาดนี้จะติดอยู่  อาซิ้มยืนอยู่ใกล้ๆกับลูกสาวบอกว่า  ถ้าติดอยู่ละก้อจะยกลูกสาวให้ ไกด์แปลให้ฟัง  ผมมองหน้าตกกระ ผมกระเซิง ฟันติดใบกุ่ยช่าย ของลูกสาวซิ้ม แล้วบอกว่า ถ้าผมติดได้ผมขอลูกพลับในถุงทีซิ้มถืออยู่นั้นดีกว่า ลูกสาวไม่เอาหรอก  พอไกด์แปลให้ซิ้มและลูกสาวฟัง ผมก็เห็นอาการผู้หญิสากลทั้วโลกที่ไม่พอใจคือ  อาการค้อน  แต่ถ้าติดไม่อยู่ ผมยินดีที่จะยกเงินจีนที่ผมแลกมานี้ทั้งหมดให้อาซิืม ( ความจริงผมเหลือเงินแค่ ๒ หย่วน กับ ๔ กั๊ก เท่านั้น เพราะซื้อเหมาไถซดเกือบหมดแล้ว)  อาซิ้มร้อง "ฮ้อ"  เป็นอันตกลง  ผมก็แกล้งเอาเหรียญห้าบาทยกขึ้นจบแล้วทำเป็นร่ายมนต์ปากมุบมิบมุบมิบ แล้วค่อยเอาเหรียญห้าบาทติดกำแพง ค่อยๆคลึง เบาๆ  พอถอนมือออก เหรียญห้าบาทติดกำแพงแน่นสนิท  ชาวจีนที่รุมดูเกือบห้าสิบคนร้องไอ๊ย่าออกมาพร้อมๆกัน อาซิ้มถึงกับขยี้ตาอย่างไม่เชื่อตัวเอง  ผมบอกว่าถ้าหากเหรียญหล่นลงมาขอให้เป็นสมบัติอาซิ้ม  ส่วนลูกพลับในถุงที่ิ้ิ้อาซิ้มถือมาต้องเป็นสมบัติของผมตามสัญญา  อาซิ้มยื่นถุงลูกพลับให้อย่างเลื่อยลอย แล้วนั่งคอยเหรียญจะตกลงมา  ส่วนผมสะกิดให้ไกด์ชาวจึนกลับไปขึ้นรถ  บนรถยนต์ผมเอาลูกพลับตัดแบ่งให้นักท่องเที่ยวเกือบยี่สิบคนกินกัน  ถามกันให้แซ่ดว่า ไปซื้อจากไหนมาอร่อยมาก แถวนี้ไม่เห็นมีขาย  ผมบอกว่าคนจีนเขาให้มา

ไกด์ชาวจีนยังไม่หายสงสัยว่าเหรียญมันติดอยู่ได้อย่างไงกัน  ผมไม่อยากจะหลอกคนใกล้ชิดกัน  ผมก็อ้าปากให้ดูแล้วบอกว่า เห็นหมากฝรั่งที่ผมเคี้ยวอยู่นี่ไหม  ตอนที่ผมเอาเหรียญขึ้นไปจบทำเป็นท่องมนต์นั่นนะ ผมกัดหมากฝรั่งเป็นก้อนเล็กๆเท่าหัวไม่ขีดไฟ แล้วติดกับเหรียญด้านที่ติดกำแพง แค่นั้นก็เหลือที่เหรียญจะติดแล้ว

"ว้า ถ้าอย่างนั้นสองแม่ลูกนั้นคงรอถึงเย็นละซิเหรียญมันถึงจะตกลงมา "  ไกด์ว่า

"คงเป็นพรุ่งนี้เช้ามากกว่า" ผมว่า  และหากสองแม่ลูกเขาจับได้ว่าผมติดเหรียญไว้ยังไงละก้อ ผมว่าคงโดนหนักกว่าขุนนางกังฉินสองผัวเมียนั่นเป็นแน่

(เรื่อง ใน นิตยสาร เที่ยวรอบโลก ปีที่ ๓  ฉบับที่ ๓๒  เมษายน ๒๕๒๘ )



จิตว่าง





บทความใน นิตยสาร สารคดี ฉบับที่ ๒๒ ปีที่ ๒ เดือนธันวาคม ๒๕๒๙

อย่าเก็บสิ่งของไว้ให้รกบ้านเลยครับ  ทิ้งไปเถอะครับ  บ้านว่างๆ โล่งๆ ทำความสะอาดง่าย ให้ความรู้สึกปลอดโปร่งดีนัก  ทำบ้านให้เหมือน รีสอร์ท ที่มีความสะอาด เป็นระเบียบ  แล้วท่านจะอยู่บ้านที่อุตส่าดิ้นรนซื้อหามาด้วยราคาอันแสนแพง ได้อย่างคุ้มค่า

 สิ่งของที่ทิ้งไป  คิดว่าเป็นการช่วยเหลือเพื่อนร่วมชาติละกัน  คัดแยกให้ดี ของดีๆจะได้ไม่เสียหาย      ไม่เสียราคา

อย่าเสียดายสิ่งของ  ควรเสียดายเงินที่หามาด้วยความเหนื่อยยาก

ซื้อเมื่อจำเป็น  ประมาณว่า  กินเพราะหิว  ไม่ใช่กินเพราะอยาก



วันพฤหัสบดีที่ 13 พฤศจิกายน พ.ศ. 2557

เรื่อง ของ ครูจันทร์แรม

การศึกษา  เรื่องที่บ้านเรากำลังคิด ปฏิรูป  ในขณะเดียวกันกับ  มาลาลา  ยูซาฟไซ  Malala Yousafzai ชาวปากีสถานได้รับรางวัล โนเบล สาขาสันติภาพ  ในฐานะที่เป็นนักต่อสู้เพื่อสิทธิการศึกษาของเยาวชน และเด็กหญิงใน ปากีสถาน

ข่าวที่ มาลาลา ได้รับรางวัล โนเบล  ทำให้หวลคิดไปถึงครู จันทร์แรม  ซึ่งเคยโด่งดังมากในอดีต  จำได้เพียงว่าเธอเป็นเด็กที่มีอายุน้อย แต่มีความมุ่งมั่นให้คนในหมู่บ้านเธออ่านออกเขียนได้  เธอจึงเปิดโรงเรียนขึ้น เพื่อสอนหนังสือ    และแล้วก็ได้พบเรื่องของ ครูจันทร์แรม ในนิตยสาร สารคดี  ฉบับที่๓๑  ปี่ที่ ๓  เดือนกันยายน ๒๕๓๐  ทางนิตยสาร บันทึกเรื่องของ ครูจันทร์แรมไว้ถึงยี่สิบหน้า  ผมจึงคัดลอกมาเพียงบางส่วน  เพื่อฟื้นความทรงจำของบางคน  และให้เยาวชนคนรุ่นใหม่ คนที่มี วันพรุ่งนี้ ได้รับรู้  เป็น ฐานข้อมูลหนึ่ง ที่นำไปใช้ได้ เมื่อเข้าบริหารประเทศไทย























วันอังคารที่ 11 พฤศจิกายน พ.ศ. 2557

ขนวนการ ผลิต ฟิล์ม ถ่ายรูป และ ภาพยนต์



อย่างที่เคยบอกไว้ว่า ฟิล์ม ถ่ายรูป มีหลาย ยี่ห้อ เช่น โกดัก  ฟูจิ  คอนิก้า  อักฟา  illford  แต่ผมมีเอกสารเกี่ยวกับ ฟิล์ม โกดัก จึงนำมาแบ่งปัน ให้ได้รู้เห็นกัน

วัตถุดิบสำคัญในการผลิตฟิล์ม

ใยฝ้าย
 เยื่อไม้
 เปโตรเคมิเคิล
แร่เงิน
หนังสัตว์
โปตัสเซียมโบรไมด์



ในการผลิตฟิล์ม  ขบวนการแรกจะเริ่มในโรงงานของ โกดัก ที่ เทนเนสซี่ อิสต์แมน ซึ่งจะทำหน้าที่ผลิต ฐาน ของฟิล์ม โดยนำ ใยฝ้าย บริสุทธิ์  และ  เยื่อไม้ ที่เลือกสรรแล้ว มาผสมกับ เปโตรเคมิเคิล เพื่อทำแผ่น พลาสติคเซลลูโลส  สำหรับใช้เป็นฐานของฟิล์ม

ขั้นตอนสำคัญอีกขั้นหนึ่งก็คือ  การทำ เยื่อไวแสง เพื่อเคลือบผิวฟิล์ม  โรงงานของโกดักที่มีหน้าที่ผลิต เยื่อไวแสง คือ โรงงาน อิสต์แมน เจลาติน คอปอร์เรชั่น  ตั้งอยู่ที่เมือง พิบอดี มลรัฐแมสซาจูเซ็ท เป็นโรงงานผลิต เจลาติน  เพื่อผลิต วัสดุไวแสง สำหรับเคลือบฟิล์ม และ กระดาษ  ส่วนประกอบสำคัญของเยื่อไวแสง คือ แร่เงิน ที่มีความบริสุทธิ์ ๙๙.๙๗ %   บริษัท โกดัก นับเป็นบริษัทเดียว ที่ใช้ แร่เงิน มากที่สุดในโลกรองจาก โรงกษาปณ์ ของ สหรัฐอเมริกา  นอกจาก แร่เงิน แล้ว ก็มี  โปตัสเซียมโบรไมด์ และ หนังสัตว์ ที่จะต้องได้รับการเลือกสรรจาก วัว ซึ่งเลี้ยงด้วย หญ้า พิเศษ  เพื่อสามารถนำหนังมาทำ กาวน้ำ บริสุทธิ์

การทำ เยื่อไวแสง นั้น   ในชั้นแรก แร่เงิน จะถูกละลายผสมกับ กรดไนตริคแอซิค เพื่อทำเป็น ซิลเวอร์ไนเตรท   เมื่อส่วนที่ละลายแห้งและเย็นแล้ว ก็จะได้ ผลึก ซิลเวอร์ไนเตรท ที่บริสุทธิ์  แล้วจึงนำไปผสมกับ เจลาติน ซึงเป็นกาวละเอียดที่ได้จากการเคี่ยว หนังสัตว์  การผสมต้องผสมในภาชนะ โลหะ กัน สนิม ต่อมาจึงผสม โปตัสเซียมโบรไมด์ ลงไป  จะได้ ซิลเวอร์โบรไมด์ ผสมอยู่ใน เจลาติน  ( อนุภาค ของ ซิลเวอร์โบรไมด์ ที่อยู่ใน เจลาติน นี่เอง ที่จะทำหน้าที่ บันทึก แสง ในขณะ ถ่ายภาพ )

หลังจากนั้นจึงจะผสมเคมีต่างๆเพิ่มเข้าไป เพื่อให้ได้คุณภาพของเยื่อไวแสงของฟิล์มแต่ละชนิดที่ต้องการ  แล้วจึงนำไป ฉาบ  ลงบนพื้นฟิล์มที่เตรียมไว้  ทุกขั้นตอนของการผลิต ไม่ว่าจะเป็นการทำพื้นฟิล์ม  การเตรียม เยื่อไวแสง ตลอดจนการ เคลือบผิว ฟิล์ม  จะต้องมีการ ควบคุม คุณภาพ อย่างระมัดระวังที่สุด  หากตรวจพบสิ่งผิดปกติ จะต้องแก้ไขใหม่ จนแน่ใจว่าอยู่ในมาตรฐานที่กำหนด  

........................      





วันจันทร์ที่ 10 พฤศจิกายน พ.ศ. 2557

รูป ภาพ กล้อง ฟิล์ม

กล้องถ่ายรูป ที่ใช้ ฟิล์ม


เมื่อปีที่แล้ว  ได้ทราบจาก ร้านถ่ายรูป ร้านหนึ่ง  ในอำเภอ เลาขวัญ จังหวัด กาญจนบุรี ว่า  เครื่องล้างอัดรูป ที่ซื้อมาในราคาเกือบแสน ต้องวางทิ้งไว้เหมือนเศษ เหล็ก เพราะไม่มีงานเลย 

 ผมไม่ทราบว่า  ยุคนี้ ยังมีการถ่ายรูป ด้วยฟิล์มอีกมากน้อยแค่ไหน  หรือ หมดยุคแห่งความรุ่งโรจน์โดยสิ้นเชิงแล้ว  คนที่เกิดในยุค ดิจิตอล นี้  มีสักกี่คน ที่รู้จัก กล้องฟิล์ม  หรือ มีสักกี่คนที่ทราบว่า มีฟิล์มถ่ายรูป  และมีสักกี่คนที่เคยเห็นฟิล์ม ยี่ห้อ ดัง  อย่าง  โกดัก Kodak

ฟิล์มถ่ายรูป  มีหลาย ยี่ห้อ  เช่น โกดัก  โคนิก้า  ฟูจิ  อักฟ่า   illford   แต่เนื่องจากผมมีเอกสารเกี่ยวกับฟิล์ม      โกดัก  จึงอยากนำมา แบ่งปัน ให้รู้เห็นกัน











จบ ด้วย
อนิจจัง ทุกข์ขัง  อนัตตา


ภาพจาก หนังสือ  ใครจิกหัวกู?









ประชา นิยม เรื่อง สมมติ

เงินผัน

หรือ "รัฐสวัสดิการ"  (ความคิดผมเอง)  ที่ สิงค์โป ไม่มี ( รู้จากช่อง TPBS )

เงินผันประกันราคาพืชผล  ปลูกบ้านให้คนจน  รักษาคนยากไร้
คัดมาจาก...


นโบายให้ บริการ สาธารณูปโภค แก่ ประชาชน แบบให้เปล่า  เป็น  "นโบายประชานิยม" หรือ Populism  เกิดขึ้นครั้งแรกใน ประเทศไทย



นโบายประชานิยมของ พรรคการเมือง ใน ระบอบประชาธิปไตย  มิใช่เป็นเรื่องที่เสียหาย ถ้าดำเนินนโยบายให้สอดคล้องกับ เสถียรภาพ และ ความมั่นคงทาง เศรษฐกิจ ระดับ มหภาค  (macro)  ของประเทศ คือการดำเนินโยบายประชาประชานิยมตามกำลัง เงิน และ ทรัพยากร ของประเทศ การมีกลไกควบคุมให้การใช้เงินหรือ การลงทุน ตามนโยบาย เป็นไปอย่างเหมาะสมไม่รั่วไหล  และการดูแลมิให้ผู้มีรายได้น้อยหรือ ผู้ด้อยโอกาส มีภาระ หนี้สิน ล้นพ้นตัว



สรุปว่า (ความคิดผมเอง)   นโบายให้บริการสาธารณูปโภคประชาชนแบบให้เปล่า   จะตั้งให้มีชื่ออะไรก็แล้วแต่ความพอใจของผู้ตั้ง  คือแล้วแต่จะสมมติขึ้นมานั่นเอง  เปรียบเสมือน เหล้า เก่า ใน ขวดใหม่  ดังนั้นขวดไหนก็ได้  หากเหล้าในขวดใช้เป็น ยา หรือเข้า เครื่องยา   มีผลต่อการ บำรุง รักษา คนในชาติเรา และ ชาติของ คนไทย มีความมั่นคง  ชื่อ "ประชานิยม"  ก็ฟังดูดีอยู่ นะ 

""""""""""""""


เพลี้ย วัวนม ของ มด กับ ภาพ การ์ตูน





ปั้น ดิน ให้เป็น เซรามิค อย่าง สวยงาม


เซรามิค

CERAMIC

ภาพ "เซรามิค" ในหนังสือ สารคดี  ฉบับที่ ๒๙  ช่าง สวยงาม ถูกใจนัก  จึงอยาก แบ่งปัน  เนื้อหา เกี่ยวกับ วิธีการ ผลิต  นั้นบ้าง
ส่วนท่านจะรู้สึกยังไง ก็แล้วแต่ รสนิยม ของแต่ละคน  สำหรับผู้ที่สนใจในงาน ปั้น ก็น่าจะช่วยเสริม จินตภาพ  หรือแม้แต่ผู้ที่รักการ  ถ่ายภาพ ก็น่าจะเห็นส่วนที่เป็นประโยชน์ได้   เช่นกัน

เซรามิค ก็คือ เครื่องปั้นดินเผา นั่นเอง  แต่ ขั้นตอน การทำ นั้นมีมากกว่า  ซึ่งผมจะคัดย่อเอามาเฉพาะส่วนที่คิดว่าน่าสนใจมาแบ่งปันกัน


ในการทำเซรามิค  เตาเผานับเป็นหัวใจสำคัญที่สุด  การเผาผลิตภัณฑ์เครื่องปั้นดินเผาในอุณหภูมิที่ต่างกัน ก็ก่อให้เกิดงานเซรามิคที่แตกต่างกันออกไปในแต่ละประเภท เช่น ถ้าเผาในอุณหภูมิประมาณ ๙๐๐-๑๑๕๐ องศาเซลเซียส จะได้งานที่มีเนื้อหยาบค่อนข้างหนาและมีความพรุนตัวสูง  เรียกกันว่าแบบ earthen ware  เช่นงานพวกกระถางต้นไม้  ตุ่มดิน  หม้อดิน  อิฐก่อสร้าง  หากเผาที่ ๑๑๕๐-๑๒๕๐ องศาเซลเซียส  ก็จะได้ผลิตภัณฑ์ประเภท  stone ware  ที่มีเนื้อแกร่ง ทึบ และความพรุนน้อย เช่น พวกถ้วย ชาม แจกัน ของใช้ต่างๆ ภายในบ้าน  ส่วนการเผาที่อุณหภูมิสูงมากๆ ตั้งแต่ ๑๒๕๐-๑๓๐๐ องศาเซลเซียส ขึ้นไป จะได้งานเซรามิคแบบ porcelain ที่มีเนื้อละเอียดและความแข็งสูงมาก ไม่ดูดซึมน้ำ ทั้งยังโปร่งแสงด้วย เช่น ผลิตภัณฑ์พวกเครื่องมือวิทยาศาสตร์  ฉนวนไฟฟ้า  หรือเครื่องประดับต่างๆ



ดิน...เป็นวัสดุสำคัญอีกสิ่งหนึ่ง ที่ผู้ทำงานเซรามิคต้องเข้าใจถึงคุณสมบัติทางธรรมชาติ ที่ให้ความนุ่ม  นวลอบอุ่น  สบาย เป็นกันเอง... จึงสามารถสร้างสรรค์งานที่เหมาะสม  ไม่ขัดแย้งกับลักษณะดั้งเดิมของวัตถุนั้นๆ  ดินที่ใช้ในงานเซรามิคมีมากหลายชนิด  ทั้งดินขาว  ดินเหนียว  ดินทนไฟ ฯลฯ ...  ในการทำชิ้นงาน  สิ่งแรกหลังจากการเตรียมดินแล้วก็คือ  การนวดดินให้ผสมผสานเข้าเนื้อ แล้วจึงนำมาขึ้นรูปที่มีหลายวิธีตามแต่เลือกใช้ให้เหมาะสมกับงานและเครื่องมือที่มีอยู่  เช่น  แบบวิธีขด  แบบพิมพ์กด  แบบใช้แป้นหมุน  แบบใบมีด  หรือแบบอิสระตามแต่จะคิด

การเคลือบ  เป็นอีกขั้นตอนหนึ่งของการทำงานเซรามิค ที่ต้องระวังระวังเป็นพิเศษเพราะเป็นขั้นตอนสุดท้าย หากเกิดผิดพลาด หรือชิ้นงานที่เคลือบไม่สะอาด ชิ้นงานนั้นก็อาจเสียหายจนต้องทิ้งไปเลย ซึ่งเป็นการเสียเวลาและต้นทุนการผลิตไปอย่างน่าเสียดาย  ดังนั้น จึงต้องเอาใจใส่ชิ้นงานที่จะเคลือบให้สะอาด  และควรทำการทดลองเคลือบชิ้นงานเล็กๆก่อน เพื่อจะดูผลของน้ำเคลือบ เนื้อดิน และอุณหภูมิ ว่ามีปัญหาบ้างหรือไม่  หากเกิดการเสียหายจะได้แก้ไขทัน


การเคลือบเซรามิคมีจุดหมายเพื่อป้องกันผิวดินเป็นรูพรุน รั่ว  และเป็นการเพิ่มความงามแก่ชิ้นงาน ให้มีสีสันลวดลาย และความมันแวววาว ตลอดจนความคงทนให้เกิดขึ้น... ในสมัยโบราณ การเคลือบเครื่องปั้นดินเผาใช้ไขสัตว์หรือยางไม้ทาลงบนภาชนะ  แต่ปัจจุบันเราใช้น้ำเคลือบที่มีสูตรผสมทางเคมีต่างๆ  ก่อให้เกิดการเคลือบเป็น ๓ ลักษณะ คือ แบบเคลือบที่ให้ความมันแวววาว สมารถสะท้อนแสงและมองเห็นเนื้อดินที่เคลือบได้  ลักษณะที่สอง เป็นการเคลือบด้าน ให้ผิวเรียบแต่ไม่เป็นมัน  สุดท้ายคือการ     เคลือบทึบที่ปิดบังเนื้อดินได้สนิท

สำหรับวิธีการเคลือบเราอาจนำชิ้นงานที่ยังไม่ได้เผามาชุบน้ำเคลือบแล้วนำไปเผา  หรือใช้น้ำเคลือบพ่น  เทราด  และใช้พู่กันแต่งแต้มบนชิ้นงานก่อนนำไปเผาก็ได้  เราเรียกการเผาเคลือบชนิดน้ีว่า               เผาครั้งเดียว      ส่วนอีกวิธี  อาจใช้งานที่ผ่านการเผาดิบแล้วครั้งหนึ่งมาชุบน้ำเคลือบแล้วไปเผาอีกครั้งหนึ่ง เรียกการเผาเช่นนี้ว่า เผาครั้งที่สอง     หากต้องการให้ชิ้นงานมีสีสัน ลวดลายแปลกตาก็ขึ้นอยู่กับการผสมน้ำเคลือบด้วยสูตรต่างๆ หรือใช้เทคนิคการเขียนลวดลาย หรือควบคุมอุณหภูมิในเวลาเผา  เช่น  การเขียนสีใต้เคลือบ หรือการเขียนสีบนเคลือบตกแต่งชิ้นงาน  ...การเขียนทั้งสองแตกต่างกันตรงที่  การเขียนสีใต้เคลือบจะใช้พู่กันวาดลวดลายลงบนชิ้นงานที่ยังไม่ได้เผาดิบหรือเผาดิบแล้ว จากนั้นนำไปชุบน้ำเคลือบใสเผาอีกครั้งหนึ่ง   การเขียนสีใต้เคลือบ มักนิยมเขียนสีเดียว โดยเฉพาะสีน้ำเงิน  ตัวอย่างที่เรารู้จักดีคือ เครื่องลายคราม  นั่นเอง  ส่วนการเขียนสีบนเคลือบ ต้องวาดลวดลายลงบนชิ้นงานที่เผาเคลือบแล้ว ซึ่งควรเป็นการเคลือบใสขาว  หลังจากแต้งแต้มลวดลายสีสันต่างๆแล้ว ก็นำไปเผาอีกครั้งหนึ่ง  ผลิตภัณฑ์ที่นิยมทำด้วยวิธีนี้คือ  เครื่องเบญจรงค์    ซึ่งมีราคาแพง
.........................

วันอาทิตย์ที่ 9 พฤศจิกายน พ.ศ. 2557

พลอยนำ โชคลาภ

มุกดาหาร

MOONSTONE 



MOONSTONE    คำนี้มาจากภาษาลาติน LUNA   หมายถึงพระจันทร์  มุกดาหารเป็นสัญญลักษณ์ของความรุ่งเรือง และนำความผาสุกมาสู่ผู้ใส่ เชื่อว่าจะช่วยป้องกันภูติผีทางทะเลในตอนกลางคืน  ในสมัยกลางกล่าวกันว่า หากจ้องมองมุกดาหารนานๆแล้ว จะมีความรู้สึกเหมือนถูกสะกดจิตและจะมองเห็นเหตุการณ์ในอนาคตได้  ในประเทศอินเดียเชื่อว่า เป็นพลอยที่นำโชคดีมาให้ผู้ใส่ และเป็นของศักดิ์สิทธิ์ จึงไม่มีการซื้อขายมุกดาหารกันเลย โดยเฉพาะมุกดาหารที่มีสีเหลือง  นอกจากนี้ยังเชื่ออีกว่า ถ้าให้มุกดาหารแก่คนรักจะช่วยกระตุ้นให้เกิดความรักมากขึ้น  และในวันที่พระจันทร์เต็มดวง มุกดาหารจะมีอำนาจลึกลับเกิดขึ้น 




แหล่งกำเนิดเนิดมักพบในหินแกรนิต และในสายแร่เม็กมาไทต์ อยู่ในตระกูลเฟลสปาร์ (Feldspar)  ประเทศแรกที่ขุดพบและมีมากที่สุด คือ อินเดีย  ส่วนศรีลังกาพบชนิดที่สวยงามมาก  สำหรับประ         เทศอื่นๆ ได้แก่  ออสเตรเลีย  พม่า  บราซิล  มาลากาเซีย  แทนซาเนีย  อเมริกา   และไทย


สีของมุกดาหารที่ได้รับความนิยมมากคือ สีออกนวลน้ำเงินของดวงจันทร์ นอกจากนั้นก็มีสีชมพู  เขียว  ขาวเทา และน้ำตาล

พลอยชนิดนี้เนื้ออ่อนมาก จึงต้องระมัดระวังการกระทบกระทั่ง  ส่วนคุณสมบัติพิเศษของมุกดาหารอยู่ที่สี ซึ่งมึความเหลือบคล้ายมุก มีปรากฎการณ์ทางแสงแบบโอปอล(OPALESCENCE)

เหลืองอะดูลาเรสเซน(ADULARESCENCE)


และพบเสมอที่เล่นแสงแวววาวเป็นแถบวูบวาบ(chatoyancy) คล้ายตาแมว ซึ่งนำมาเจียรไนแบบหลังเบี้ย

------------

(คัดลอกข้อความจาก นิตยสารสารคดี ฉบับที่ ๒๙ ปีที่ ๓ เดือนกรกฎาคม ๒๕๓๐)

วันเสาร์ที่ 8 พฤศจิกายน พ.ศ. 2557

โครงสร้าง สะพานขึง เหนือ แม่น้ำเจ้าพระยา



สะพานเสาขึงเคเบิลระนาบเดี่ยว ( single  plane  fan  type  cable-stayed  bridge )  เข้ามามีบทบาทในระบบทางด่วนสายดาวคะนอง-ท่าเรือ   เพื่อเชื่อมเส้นทางฝั่งธนบุรีและพระนครเข้าด้วยกัน ซึ่งเป็นขั้นตอนสำคัญสุดท้ายสำหรับทางด่วนสายนี้  ...เบื้องหลังการก่อสร้างสะพานที่ได้ชื่อว่า "ยาวที่สุดในโลก" แห่งนี้เริ่มจากความไม่ตั้งใจโดยแท้  หากแต่เพราะข้อกำหนดของกรมเจ้าท่า ที่ไม่ให้สิ่งก่อสร้างใดมีตอม่อตอกลงในน้ำที่มีความลึกเกิน ๒ เมตร เพราะบริเวณนั้นเป็นคุ้งน้ำและเส้นทางขนส่งที่เรือเดินสมุทรเข้าออกเพื่อรับและขนถ่ายสินค้าจากท่าเรือ  ถ้ามีตอม่อของสิ่งก่อสร้างยื่นล้ำเข้าไปในเขตน่านนำ้ก็จะเป็นอุปสรรคของการสัญจรของเรือ  ทั้งอาจก่อให้เกิดอุบัติเหตุอีกด้วย  นั่นคือสาเหตุที่ทำให้สะพานต้องยกสูงจากระดับน้ำทะเลขึ้นสูงสุด ๔๑ เมตร และระยะห่างระหว่างตอม่อสองฟากแม่น้ำยาวถึง ๔๕๐ เมตร  บังคับให้สะพานต้องมี "ช่วงกลางยาวที่สุดในโลก" ไปโดยปริยาย


กว่าจะมาเป็นสะพานขึงแห่งนี้ ได้มีการศึกษาเปรียบเทียบเรื่องความเหมาะสมโดยกลุ่มบริษัทวิศวกรที่ปรึกษา ๔ บริษัท ซึ่งใช้เวลา ๑ ปี ๑๐ เดือน กับเงิน ๔๒ ล้านบาทในการพิจารณาตัวเลือกระหว่างการสร้าง "สะพาน" และ "อุโมงค์"  ผลคือการสร้างสะพานมีความเหมาะสมกว่า ด้วยเหตุผลหลายประการ  นับแต่ราคาค่าก่อสร้างที่ถูกกว่าถึง ๔ เท่า มีทัศนียภาพสวยงามกว่า  การทรุดตัวของโครงสร้างเนื่องจากการสูบน้ำบาดาลมาใช้มีน้อยกว่า  ค่าใช้จ่ายในการปฏิบัติงานและบำรุงรักษามีน้อยกว่าอุโมงค์ ที่เมื่อก่อสร้างเสร็จต้องมีค่าใช้จ่ายทุกวินาทีในการปั๊มน้ำระบายน้ำออกจากอุโมงค์  ต้องมีเครื่องวัดคาร์บอนมอมอนอกไซด์ที่ออกมาจากท่อไอเสียรถ  เครื่องวัดความเข้มของอากาศเป็นพิษ  การระบายอากาศและการให้แสงสว่างตลอดเวลา  รวมแล้วต้องใช้เจ้าหน้าที่ชุดพิเศษสำหรับดูแลเหตุการณ์ภายในอุโมงค์ตลอด ๒๔ ชั่วโมงโดยเฉพาะ

เมื่อผลสรุปออกมาเช่นนี้ ปัญหาที่ตามมาคือการสร้างสะพานแบบไหนจึงเหมาะสม  เพราะต้องไม่เป็นสะพานแบบยกเปิดปิดที่จะทำให้การจราจรบนทางด่วนมีปัญหา  ประกอบกับต้องยึดถือข้อจำกัดที่กรมเจ้าท่ากำหนดไว้ข้างต้น ทำให้แบบสร้างสะพานถูกบีบให้แคบเหลือเพียง ๒ แบบคือ  สะพานแขวน       (suspension bridge)  และแบบสะพานขึง (cable-stayed bridge)

ความแตกต่างระหว่างสะพานแขวนกับสะพานขึง คือ      สะพานแขวน จะมีสายเคเบิล ๒ เส้น  โยงยึดสะพานแล้วถูกนำไปยึดกับทุ่นคอนกรีตที่ปลายสะพานทั้ง ๒ ข้าง  แต่ สะพานขึง จะใช้สายเคเบิลยึดไว้กับพื้นสะพานโดยตรง จึงไม่ต้องการทุ่นยึด แต่น้ำหนักจะไปรวมอยู่ที่เสากระโดงทั่งสองข้าง

เมื่อเปรียบเทียบค่าใช้จ่าย  สะพานขึงที่ไทยสร้างอยู่นี้แม้จะเป็นสะพานช่วงยาวเหมือนกับสะพานแขวนที่ใช้ตอม่ออยู่ห่างกันมาก  แต่ถือว่าในะยะทางประมาณ ๔๐๐-๖๐๐ เมตรแล้ว ค่าก่อสร้างสะพานแบบนี้จะประหยัดกว่าแบบสะพานแขวนถึง ๒๕ เปอร์เซ็น  และจากการทดลองในห้องทดลองยังพบอีกว่า สะพานขึงแกว่งน้อยกว่าเมื่อเจอกับลมแรง แสดงว่าสามารถต้านแรงลมได้ดีกว่า  นอกจากนี้ยังเหมาะกับดินเมืองไทยที่เป็นดินอ่อนอีกด้วย


(คัดลอก  จากนิตยสารสารคดี ฉบับที่ ๒๙ เดือนกรกฎาคม ๒๕๓๐)

วันศุกร์ที่ 7 พฤศจิกายน พ.ศ. 2557

ผมเป็น นักการเมือง ไทย

นักการเมือง  ที่ฆ่าไม่ตาย  ขอเปรียบว่าเสมือน "แมวเก้าชีวิต"  


ตั้งใจไว้ว่าจะไม่พูดถึงเรื่องการเมือง  ครั้น พบเรื่องหนึ่งที่มีคำว่า "จำนำ"  ในนิตยสารสสารคดี ฉบับที่ ๒๙ ปีที่ ๓ เดือนกรกฎาคม ๒๕๓๐ ก็เกิดความคิดต่างๆนาๆผุดขึ้น  ฟาร์ม หมู ใหญ่โตส่งกลิ่นแบบว่าเล่นเอาหมดแรงเลย  ต่างกับตอนไม่มีฟาร์มฯ  อากาศดีทำให้ความเหนื่อยล้าหายได้   ก่อนเปิดฟาร์มก็ต้องผ่านการตรวจสอบของภาครัฐ  ทำไมยังเหม็น?  ท่านอาจจะไม่รู้สึกชัดเจนก็ได้  นึกถึงเรื่องใดก็ได้ที่เกี่ยวกับหน่วยงานภาครัฐที่ส่งผลกระทบกับประชาชน เช่น ไฟไหม้ บ่อขยะ ที่แพรกกระษา  สมุทรปราการ  หากมีผลกระทบกับท่าน  โดยเฉพาะด้านลบ  ท่านก็ต้องส่งเสียง  ดังนั้น ท่านก็เป็น นักการเมือง    เหมือนผม
ทำไมจึงต้องอคติกับ นักการเมือง  ?

เพราะ  "ภาพลักษณ์" 

แก้อย่างไร  วินัย ใช่มั๊ย  ดู ญี่ปุ่น ซิ

แต่ กฏจอดรถวันคู่วันคี่นี้ดีหรือ? ท้องถิ่นที่รถน้อยเพิ่มอุบัติเหตุมากกว่า  ใน กรุงเทพ ควรใช้กฏจอดรถวันคู่วันคี่?   

ประชานิยม  ผมคิดว่าความหมายเดียวกับ รัฐสวัสดิการ  เงินผัน   เมื่ออดีตที่โรงเรียนวัดมีแค่ ป.๔ ประมาณ ๕๐ ปีมาแล้ว  ชนบทท้องถิ่นผม ประชาชนมี ข้าว ในยุ้ง  ไม่อดอยาก  แต่ไม่มี เงิน   รัฐต้องแจกสมุด ดินสอ หนังสือ ให้ (น่าจะกระดานชนวนด้วย)  แม้เกี่ยวกับการ เกษตร ก็มีแจก   รับเสียเถอะว่าประชานิยม  จะได้ ปรับปรุง (ไม่อยากใช้คำว่า พัฒนา เพราะความหมายคือทำลายของเก่าให้หมดแล้วเอาวิถีอื่นใส่แทน ...ส. ศิวลักษณ์ )  บ้านเมืองได้อย่างคล่องตัว  เอาให้สุดซอยเลย  ช่วยให้ประชาชนช่วยปรับปรุงความสามารถตนเองได้  ก็ควรได้รับความนิยม

จำนำ  คือ โรงรับจำนำ ไง



ตัดไม้เผา ถ่าน  พอทำใจ  แต่ ตัด ไม้ ขาย ลาน มัน  สุดระทม ใจ...จริงๆ


"ศากยวงศ์" กับพระพุทธ ศาสนา

หญิงพื้นเมืองชาวเนปาลประดับตกแต่งร่างกายด้วยตุ้มหูและห่วงทองที่จมูก



เนปาล  ดินแดนแห่งขุนเขาเหยียดยาวสลับซับซ้อน อันเป็นที่ตั้งของภูเขาสูง ชื่อ "หิมาลัย"  และป่า"กุหลาบพันปี"  ทั้งเป็นดินแดนอันเป็นแหล่งกำเนิดขของ พุทธองค์ ซึ่งเป็นโอรสผู้ครองนคร กบิลพัสดุ์  ถิ่นฐาน   ศากยวงศ์